นักวิทย์สุดบ้าบิ่น

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ขวดทดลอง การ์ตูนนักวิทย์สุดบ้าบิ่น

          เชื่อหรือไม่นักวิทยาศาสตร์บางคนไม่ลังเลที่จะกินยาพิษ เผาตนเอง แม้กระทั่งกลืนอาเจียนหรือแบคทีเรียเข้าไปจนเฉียดตายก็มี แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่เขาทำนั้นน่านับถือ และวิทยาศาสตร์ก็ออกจะเป็นหนี้บุญคุณนักวิทยาศาสตร์ที่ออกจะบ้าบิ่นนี้มากทีเดียว


1.ปีแยร์ กูว์รี (Pierre Curie)
  • นักฟิสิกส์ผู้พลีชีพให้กับกัมมันตภาพรังสี
       ค.ศ.1898 ปีแยร์และมารี กูว์รีได้ค้นพบแร่เรเดียม ซึ่งมีสมบัติแผ่รังสีออกมาอย่างต่อเนื่อง สองสามีภรรยาเรียกการแผ่รังสีออกมานี้ว่า "กัมมันตภาพรังสี" ค.ศ. 1901 ปีแยร์คิดว่ารังสีของแร่เรเดียมน่าจะนำไปใช้รักษาโรคที่มีผลต่อผิวหนัง อย่างเช่น โรคเอสแอลดี หรือมะเร็งบางชนิดได้ ด้วยการให้รังสีเผาไหม้ผิวหนังส่วนที่เป็นโรค
       ปีแยร์ต้องการทดสอบความคิดนี้ แต่จะทดลองกับอะไรล่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นนักฟิสิกส์ ไม่ใช่นักทดลองชีววิทยา แทนที่จะทดลองกับหนูทดลอง เขากลับทดลองกับตนเอง ปีแยร์วางเรเดียมคลอไรด์ที่อัดแน่นอยู่บนผ้าพันแผลลงบนแขน ทิ้งไว้ 10 ชั่วโมง ก็พบว่า เนื้อของเขาไหม้ต้องใช้เวลารักษาอยู่ 2 เดือนจึงจะหาย ปีแยร์หันไปร่วมมืกับแแพทย์ผิวนัง เพื่อพัฒนาการบำบัดรักษาด้วนกัมมันตภาพรังสี ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงใช้การฉายรังสีบำบัดทำลายเซลล์มะเร็ง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Pierre Curieผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Pierre Curie radium

ภาพปีแยร์ กูว์รี (Pierre Curie) (ซ้าย) ภาพปีแยร์และมารี กูว์รี ขณะทำการทดลอง เรื่อง ธาตุเรดียม(ขวา)
ที่มาภาพ https://i2.wp.com

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้นคั่น
2.แจ็ก บานส์ ( Dr. Jack Barnes)
  • แพทย์ผู้ยอมให้แมงกะพรุนพิษกัด
      นักท่องเที่ยวจำนวนมากบริเวณชายฝั่งทะเลออสเตรเลียเกิดอาการอิรุคันด์จิ มีอาการอาเจียน กล้ามเนื้อเกร็งอย่างรุนแรงจนเป็็นอัมพาต บางครั้งก็ถึงตายได้ นายแพทย์แจ็ก บานส์ พบว่า ทุกคนที่เกิดอาการนี้ล้วนเล่นน้ำทะเลราวครึ่งชั่วโมง ผู้ต้องสงสัยคือแมงกะพรุนจิ๋วที่มีหนวดพิษ เขาลงทุนสวมชุดประดาน้ำแช่น้ำนานหลายชั่วโมงเพื่อตามล่าตัวการ ในที่สุดเขาก็เก็บตัวอย่างมาได้ แมงกะพรุนนี้มีหนวดยาว 1 เมตร ขั้นตอนต่อไปคือพิสูจน์ว่าแมงกะพรุนนี้มีพิษร้ายแรงแค่ไหน
      นายแพทย์บานส์ลงทุนอีกครั้ง เขาให้แมงกะพรุนกัดตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ เขายังโน้มน้าวลูกชายวัย 14 ปี และเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยชายฝั่งมาร่วมในการทดลองด้วย ผลก็คือ หนูทดลองทั้งสามกลายเป็นผู้ป่วยหนักทันที พิสูจน์ว่า แมงกะพรุนจิ๋วนี้เป็นสาเหตุของอาการอิรุคันด์จิ แมงกะพรุนนี้จึงได้ชื่อว่า Carukia barnesi เพื่อให้เกียรติผู้ค้นพบซึ่งรอดชีวิตมาได้เช่นเดียวกับลูกชายและผู้ดูแลความปลอดภัยชายฝั่งทะเล

รูปภาพที่เกี่ยวข้องรูปภาพที่เกี่ยวข้อง

แมงกะพรุนจิ๋ว  Carukia barnesi มีขนาดไม่ถึง 3 ซม. แต่พิษร้ายแรง

ที่มาภาพ http://www.abc.net.au , http://cdn1.vagabond.se

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้นคั่น
3.เอากุสท์ เบียร์ (August Bier)
  • การทดสอบยาชาแสนระห่ำ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ August Bier      ในยุคแรกเราใช้แก๊สไนตรัสออกไซด์เป็นยาชา จนค.ศ.1884 มีการค้นพบว่า โคเคนมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายหมดความรู้สึก เอากุสท์ เบียร์ ศัลยแพย์ชาวเยอรมันเกิดคำถามว่า เราจะฉีดยานี้เข้าช่องไขสันหลังของผู้ป่วยได้หรือไม่ เพราะไขสันหลังเป็นตัวสื่อสารความรู้สึกระหว่างร่างกายกับสมอง ถ้าทำสำเร็จก็เหมือนตัดถนนความรู้สึกเจ็บปวดได้นั่นเอง
      ค.ศ.1898 เบียร์ให้เอากุสท์ ฮิลเดอบรันดท์ ผู้ช่วย ฉีดโคเคนที่บริเวณช่องไขสันหลังให้เขา แต่มันล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้ฮิลเดอบรันดท์จะวางเข็มในตำแหน่งที่ถูกต้อง แต่โคเคนกลับไม่ได้เข้าสู่ช่องไขสันหลัง แต่เบียร์ไม่ยอมแพ้ คราวนี้เขาลงมือฉีดยาให้กับผู้ช่วยเองจนสำเร็จ 
      การทดสอบประสิทธิภาพของโคเคนนั้นแสนบ้าระห่ำ เมื่อเบียร์ใช้ไฟเผาผิวตรงขา ดึงขนที่หัวหน่าว แล้วฟาดไปที่อัณฑะของฮิลเดอบรันดท์ แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ไม่มีทั้งน้ำตาและเสียงร้อง ทั้งคู่ฉลองความสำเร็จด้วยอาหารมื้อพิเศษ แต่ยาชาที่ใช้กันในปัจจุบัน เราใช้สารอื่นที่ทำให้เสพติดน้อยกว่าโคเคน แต่ก็ยังถือว่าเอากุสท์ เบียร์ คือบิิดาแห่งยาชา

ที่มาภาพ https://www.researchgate.net
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้นคั่น
4.ชอง หลุยส์ เชเนวีแยฟว์ กูยง 
  • กินอาเจียนเพื่อหาสาเหตุของโรค
      ศตวรรษที่ 19 โรคไข้เหลืองระบาดในหหมู่เกาะแอนทิลลีส อเมริกาใต้ และแอฟริกา อะไรล่ะคือสาเหตุ (สมัยนั้นเรายังไม่รู้จักทั้งไวรัสและแบคทีเรีย) และโรคนี้ติดต่อจากคนสู่คนได้หรือไม่ คำถามนี้สำคัญมาก เพราะมันคือตัวกำหนดว่าเราจะให้ผู้ป่วยพักที่บ้านหรือควรแยกออกไปเพื่อสกัดกั้นการระบาด
      ค.ศ.1822 ชอง หลุยส์ เชเนวีแยฟว์ กูยง หัวหน้าศัลยแพทย์ของกองทัพฝรั่งเศส คิดว่าโรคนี้ไม่น่าติดต่อจากคนสู่คนได้ เพื่อพิสูจน์สมมติฐาน เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองติดเชื้อ ทั้งสวมเสื้อที่โชกเหงื่อของผู้ป่วยทั้งวัน กินอาเจียนของผู้ป่วย นอนบนเตียงที่ละเลงด้วยอุจจาระและอาเจียนของผู้ป่วยที่เพิ่งเสียชีวิต ฉีดอาเจียนเข้าสู่ร่ากาย แต่กลับมีแค่อาการติดเชื้อเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ไข้เหลือง กูยงสรุปว่า "ถ้าโรคนี้ไม่ติดต่อกันทั้งทางเหงื่อ อาเจียน หรืออุจจาระ แสดงว่าการติดเชื้อระหว่างคนด้วยกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย" ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1900 แพทย์ชาวอเมริกันได้พบความจริงว่า ยุงคือพาหะของโรคนี้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ yellow fever

พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้เหลือง 
ที่มาภาพ http://img.medscapestatic.com


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
5.จอห์น พอล สแตปป์ (John Paul Stapp)
  • แพทย์ผู้ยอมเสี่ยงตาย
      10 ธันวาคม ค.ศ.1954 ชายคนหนึ่งสวมหมวกกันน็อก นั่งบนเก้าอี้้ล้อเลื่อนที่เคลื่อนที่ไปบนราง อ้อ! ลืมบอกไปว่า เก้าอี้นี้พุ่งไปข้างหน้าด้วยมอเตอร์จรวด จอห์น แสตปป์นั่งอยู่บนกลไกนี้ด้วยความเร็วกว่า 1000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิธีหยุดก็เลวร้ายไม่ต่างกัน เบรกที่ติดไว้บนรางหยุดเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 1.4 วินาที ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถพุ่งชนกำแพงอิฐด้วยความเร็วเกือบ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สแตปป์เป็นทั้งแพทย์และเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศอเมริกัน เล่าว่าเขาปวดตาจนแทบทนไม่ไหว เขาทำแบบนี้มานับ 10 ครั้ง โชคดีที่ยังปลอดภัย
      สแตปป์เข้าร่วมการพัฒนาเก้าอี้ดีดยุคแรกๆ เขาต้องร่วมทดสอบว่าร่างกายมนุษย์สามารถถูกดีดออกจากเครื่องบินที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 1 มัค พร้อมกับเก้าอี้ได้หรือไม่ เพราะไม่มีหุ่นทดสอบหรือการจำลองโดยคอมพิวเตอร์ ทีมแพทย์จึงต้องส่งตัวแทนไปทดสอบ ต้องขอบคุณความกล้าหาญของเขา เราจึงรู้ว่าร่างกายมนุษย์แข็งแรงพอที่จะถูกดีดออกจากเครื่องบินได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ john paul stapp รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

จอห์น พอล สแตปป์ (John Paul Stapp) (ภาพซ้าย) และภาพขณะเขาร่วมพัฒนาเก้าอี้ดีดในเครื่องบินขับไล่ (ภาพขวา)
ที่มาภาพ  http://www.badassoftheweek.com ,http://bizzarrobazar.com

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

5.จอห์น เบอร์ดอน แซนเดอร์สัน ฮอลเดน
  • อุทิศร่างกายเพื่อการทดลอง
      จอห์น เบอร์ดอน แซนเดอร์สัน ฮอลเดน นักสรีรวิทยาชาวอังกฤษ ผู้มีพระคุณต่อนักประดาน้ำทั่วโลก นับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ฮอลเดนศึกษาผลของแรงดันที่มีต่อร่างกาย เขาเชื่อว่ามนุษย์เท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเขาปวดหัวเนื่องมาจากเเรงดันหรือไม่ ฮอลเดนอยู่ในห้องที่มีแรงกดดันนาน 10 วัน ซึ่งเลียนแบบการเปลี่ยนแปลงของแรงกดดันที่นักประดาต้องเจอเมื่อขึ้นมายังผิวน้ำ เขาทดสอบการผสมแก๊สและแรงกดดันหลายรูปแบบ
       เขาสูดออกซิเจนที่มีแรงดันสูงเข้าไปจนเพ้อ พิสูจน์ให้เห็นถึงภาวะเมาไนโตรเจนเมื่ออยู่ใต้ทะเลลึก (มีไนโตรเจนในเลือดมากเกินไป) ทำให้เยื่อแก้วหูฉีดขาด สุดท้ายคือทำร้ายกระดูกสันหลังอย่างรุนแรง ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า เกิดจาก "มีฟองฮีเลียมอยู่ในกระดูกสันหลัง"
       การทดลองของเขาช่วยให้กำหนดสัดส่วนของแก๊สแต่ละชนิดที่บรรจุในถังดำน้ำ เพื่อช่วยให้ชีวิตนักประดาน้ำปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ john burdon sanderson haldaneผลการค้นหารูปภาพสำหรับ john burdon sanderson haldane

จอห์น เบอร์ดอน แซนเดอร์สัน ฮอลเดน และการทดลองของเขา ทำให้นักประดาน้ำทั่วโลกดำน้ำได้อย่างปลอดภัย
ที่มาภาพ http://images.npg.org.uk , http://www.daviddarling.info

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
ที่มาข้อมูล นิตยสาร Go Genius ฉบับที่ 95 ปีที่ 8 2556

ความคิดเห็น